เพื่อขานรับการกลับมาอีกครั้งของนิทรรศการแสดงผลงานศิลปะอัศจรรย์ และเครื่องบอกเวลา Watches & Wonders เมซงได้รจนาเรื่องราวต่างๆ จากบรรดาแหล่งกำเนิดแรงบันดาลใจอันเสมือนเป็นสัญลักษณ์เฉพาะตัวขึ้นอย่างวิจิตรบรรจงดุจกวีนิพนธ์บทใหม่ ผ่านคอลเลคชั่นผลงานเอกลักษณ์นาม Poetry of Time และช่างสมกับความหมาย "บทกวีบอกเวลา"
โดยคอลเลคชั่นนาฬิกาข้อมือ Poetic Complications คือหนึ่งในผลงานสร้างสรรค์ซึ่งเต็มไปด้วยความสลับซับซ้อนสุดวิจิตรบรรจงทางการบอกเวลาดุจโศลกบทกวีที่รจนาขึ้น โดยอาศัยใช้ไหวพริบพลิกแพลงทักษะความสามารถแขนงต่างๆ ให้มาประจักษ์ต่อสายตาบนหน้าปัด แต่ละผลงานสร้างสรรค์ คือบทบรรจบระหว่างนวัตกรรม และงานศึกษาวิจัย อันหลอมรวมลงสู่ความมหัศจรรย์สดใหม่ซึ่งมิอาจแยกจากกัน ไม่ว่าจะเป็นระบบขับเคลื่อนแบบตีเข็มย้อนกลับหรือ “รีโทรเกรด” (retrograde movement), หน่วยกลไกบังคับกลีบดอกไม้ให้แย้มบาน และหุบปิด ตลอดจนช่องบอกนาทีปรากฏให้เห็นยามไล่สายตาไปตามทางเดินในสวนศรีหรือจับจ้องทุกลีลาอากัปของนางระบำปลายเท้า นอกเหนือจากสมรรถนะชั้นเลิศในเชิงเทคนิคกลไกอันทรงคุณสมบัติเหล่านี้ ยังมอบช่วงเวลาล้ำค่าทางอารมณ์ เป็นบทสะท้อนถึงจินตนาการของ Van Cleef & Arpels อย่างแยบคาย
Lady Arpels Heures Florales Cerisier นาฬิกา "ช่อดอกเชอรี" เลดี อารเปลเซอรส์ฟลอราลส์ เซอริซิเอร กรอบหน้าปัดนาฬิกาขนาด 38 มม. ทำจากทองคำขาวฝังเพชร พื้นหน้าปัดทำจากทองคำสีกุหลาบกับทองคำเฉดเหลืองรองรับงานปูพื้นแผ่นแม่มุกขาวประดับไพลินสีชมพู,เพชรเหลือง และเพชรขาวใสร่วมกับงานจิตรกรรมย่อส่วน กลไกขับเคลื่อนระบบอัตโนมัติ (รุ่น Valfleurier Q020) รองรับหน่วยกลไกเปิด/ปิดกลีบดอกไม้เพื่อบอกชั่วโมง มีตำแหน่งแสดงนาฬิกาตรงขอบข้างกรอบหน้าปัด สายคาดทำจากหนังจระเข้
"ตอนเราดำเนินโครงการการผลิตนาฬิกาข้อมือ เป้าหมายของเราก็คือการนำกลไกระบบต่างๆ มาใช้บอกเวลาผ่านกระบวนการเคลื่อนไหวอันสละสลวย และงดงามดุจบทกวี และในคราวนี้จะมีลูกเล่นใดเหมาะแก่การทำหน้าที่บทกวีบอกเวลาได้วิจิตรบรรจงไปกว่าจังหวะการผลิบาน และปิดกลีบของมวลดอกไม้?" นิโคลาส์ บอส, ประธาน และหัวหน้าคณะกรรมการบริหารของ Van Cleef & Arpels
ราวกับบทฉันทลักษณ์อันสละสลวยซึ่งถูกร้อยรจนาขึ้นสรรเสริญความงามล้ำเลอค่าอันชวนให้หลงใหลตราตรึงใจของธรรมชาติมานับตั้งแต่ปี 1906 เมซงอาศัยแรงบันดาลใจจากแนวทางการออกแบบนาฬิกาดอกไม้ที่เรียกว่า Horologium Florae (โฮโรโลเจียม ฟลอแร) ซึ่งคาร์ล วอน ลินเน (Carl von Linné) ได้อธิบายถึงสวนสมมุติแบบต่างๆ อันอาศัยหลักการเดียวกับกลุ่มดาวนาฬิกา มาเทียบเคียงร่วมกับทฤษฎีการคัดสรรพรรณไม้ที่จะผลิดอกบาน และหุบกลีบของตนตามเวลาเฉพาะโดยจัดตำแหน่งอยู่ในวงกรอบนาฬิกาเพื่อให้ไม้ดอกแต่ละสายพันธุ์เหล่านั้นทำหน้าที่บอกเวลาตามพฤติกรรมธรรมชาติของตน อย่างเช่นดอกแดนดิไลออนจะบานตอนตีห้า หรือบัววิกตอเรียขาวจะบานตอนเจ็ดโมงเช้า และดาวเรืองฝรั่งที่จะหุบกลีบดอกตอนบ่ายสาม หรือฝิ่นประดับ (Iceland poppy) หุบกลีบตอนหนึ่งทุ่ม ส่วนดอกชมจันทร์ หรือดอกไม้จีนจะหุบกลีบตอนสองทุ่ม เป็นต้น
Van Cleef & Arpels นำหลักการเดียวกันนี้มารังสรรค์ขึ้นเป็นผลงานชิ้นใหม่อย่างที่ไม่เคยมีปรากฏมาก่อนถึงสองรุ่นนั่นก็คือนาฬิกาข้อมือ Lady Arpels Heures Florales กับ Lady Arpels Heures Florales Cerisier เจ้าของหน้าปัดสามมิติซึ่งอาศัยการเคลื่อนไหวของกลีบดอกที่จะหุบปิด และผลิบานอย่างอ่อนช้อยทั้ง 12 ดอกมาเป็นสื่อบอกเวลาอย่างน่าอัศจรรย์ จังหวะสลับเปลี่ยนไปมาเหล่านี้จะกลายเป็นฉากตระการตาชวนให้พิศวง และติดตามในทุกๆ 60 นาที
Lady Arpels Heures Florales นาฬิกา "ดงดอกไม้" เลดี อารเปลเซอรส์ฟลอราลส์ กรอบหน้าปัดนาฬิกาขนาด 38 มม. ทำจากทองคำขาวฝังเพชร พื้นหน้าปัดทำจากทองคำขาวร่วมกับทองคำสีกุหลาบ และทองคำเฉดเหลืองรองรับงานปูพื้นแผ่นแม่มุกขาวฝังเพชรเหลือง และเพชรขาวใสร่วมกับงานจิตรกรรมย่อส่วน กลไกขับเคลื่อนระบบอัตโนมัติ (รุ่น Valfleurier Q020) รองรับหน่วยกลไกเปิด/ปิดกลีบดอกไม้เพื่อบอกชั่วโมง มีตำแหน่งแสดงนาฬิกาตรงขอบข้างกรอบหน้าปัด สายคาดทำจากหนังจระเข้
เพื่อให้การเคลื่อนไหวบนหน้าปัดมีความสมจริงตามวิถีธรรมชาติ องค์ประกอบจำนวนถึง 166 ชิ้นส่วนได้รับการติดตั้งระบบควบคุม และขับเคลื่อนโดยอาศัยหน่วยกลไกหลัก ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นจากทีมช่างฝีมือประจำแผนกห้องปฏิบัติการงานผลิตนาฬิกาข้อมือของเมซงในนครเจนีวา แต่ละกลีบของมวลดอกไม้ในสวนศรีบนหน้าปัด ล้วนได้รับการประกบลงวงกลีบ และเชื่อมต่อเข้ากับระบบกลไกของนาฬิกา อันจำเป็นต้องอาศัยความละเอียดอ่อน พิถีพิถันเป็นอย่างสูงระหว่างประกอบชิ้นส่วนทั้งหลาย โจทย์ท้าทายในเชิงเทคนิคงานประกอบชิ้นส่วนจำนวนมหาศาลเหล่านี้ ก้าวไปสู่ผลลัพธ์แห่งความครบถ้วน สมบูรณ์แบบด้วยการใช้กลไกขับเคลื่อนระบบคำนวณเวลาอันแม่นยำเพื่อมั่นใจได้ว่าดอกไม้จะดำเนินกระบวนการผลิกลีบแย้มบานสามลำดับ ซึ่งย่อมหมายความว่า แต่ละชั่วโมงที่ผ่านไป จะมีดอกไม้ซึ่งคลี่กลีบอยู่เริ่มทำการหุบกลีบเป็นกลุ่มช่อ ก่อภาพดอกตูมสลับดอกบานบนหน้าปัดในรูปแบบใหม่ๆ ไม่เหมือนกัน และในวันรุ่งขึ้น ลำดับของช่อดอกไม้ที่ผลิบานบอกเวลาก็จะสับเปลี่ยนเวียนกันไปจากชั่วโมงหนึ่งถึงอีกชั่วโมง สร้างความพิศวง และรื่นรมย์สายตายามตรวจดูเวลาซึ่งปรากฏขึ้นระหว่างกลุ่มดอกตูมกับกลุ่มดอกบาน เพื่อเติมเต็มความครบครันในงานบอกเวลา ช่องระบุนาทีที่อาศัยระบบตีเข็มย้อนกลับ หรือเรโทเกรด (retrograde) นั้น ได้รับการติดตั้งไว้บนขอบข้างของกรอบตัวเรือน
นาฬิกาข้อมือ “ดงดอกไม้” Lady Arpels Heures Florales (เลดี อารเปลเซอรส์ฟลอราลส์) และ “ช่อดอกเชอร์รี” Lady Arpels Heures Florales Cerisier (เลดี อารเปลเซอรส์ ฟลอราลส์ เซอริซิเอร) ต่างสะกดทุกสายตาด้วยความวิจิตรตระการตาของสวนรัตนชาติภายในกรอบหน้าปัดขนาด 38 มม.ทำจากทองคำขาว และทองคำสีกุหลาบตามลำดับ ผลงานรุ่นทองคำขาวจำแลงบรรยากาศคิมหันตกาลผ่านลีลาอ่อนโยนของดอกไม้ใบไม้สีน้ำเงิน และสีเขียวหลากเฉดตัดกับพื้นสีขาวของแผ่นแม่มุกมาเธอร์-ออฟ-เพิร์ลอย่างละเมียดละไม ในขณะที่เครื่องบอกเวลาตัวเรือนทองคำสีกุหลาบลำดับสองนั้น อาศัยงานออกแบบเดียวกัน หากเต็มไปด้วยความอบอุ่น อ่อนหวานของบรรยากาศฤดูใบไม้ผลิ ปีกบอบบางสีฟ้าสดของผีเสื้อ อันถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ทางการออกแบบของ Van Cleef & Arpels ดูคล้ายกำลังขยับกระพืออยู่ระหว่างวงกลีบดอกสีชมพู และสีแดง อันร่วมกันทวีความโดดเด่นให้แก่รายละเอียดนูนต่ำบนหน้าปัดนาฬิกา
บนแต่ละหน้าปัดรองรับงานตกแต่งด้วยองค์ประกอบไม่น้อยกว่า 226 ชิ้นส่วน ซึ่งถือเป็นการระดมทักษะงานฝีมือต่างแขนงมาสู่แผนกปฏิบัติการงานผลิตนาฬิกาข้อมือ ที่กรุงเจนีวาอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นงานจิตรกรรมย่อส่วนรูปผีเสื้อ และดอกไม้, กิ่งก้านประติมากรรมทองคำ และปุยเมฆประติมากรรมแม่มุก โดยอาศัยงานฝังเพชรขาวใสสลับเพชรเหลืองเคียงกัน ช่วยทวีความโดดเด่นทางรายละเอียดได้อย่างอ่อนช้อย ส่วนแผ่นประกบหลังกรอบตัวเรือนทำจากทองคำสลักลวดลายเพื่อมอบความต่อเนื่องจากงานตกแต่งบนหน้าปัด ขณะเดียวกับที่แผ่นจานเหวี่ยง อันเป็นฟันเฟืองสำคัญของกลไกขับเคลื่อนทำจากทองคำสลักลายตารางไขว้รัศมีตะวันซึ่งเรียกว่า guilloché (กวิโญเช) ร่วมกับงานจิตรกรรมย่อส่วน เผยความงามให้ประจักษ์ต่อสายตาอย่างชัดเจนภายใต้แผ่นแก้วไพลิน (sapphire glass) ใสกระจ่าง ซึ่งตกแต่งด้วยงานแกะสลัก และลงยาสีเคลือบเงา เป็นรูปแมลงปีกตัวน้อยอย่างแมลงปอ หรือผีเสื้อ ความใส่ใจในทุกรายละเอียดทั้งหมดนี้ ทำให้ผลงานสร้างสรรค์ทั้งสองรุ่นเต็มไปด้วยความสละสลวย วิจิตรบรรจงดุจบทกวีบอกเวลา ที่ผ่านการรจนาขึ้นตามจังหวะชีวิตของธรรมชาติในสวนศรีของ Van Cleef & Arpels
ถือกำเนิดในปี 2013 และชนะรางวัล Lady's Complication Prize จากงาน Grand Prix de l'Horlogerie de Genève ซึ่งจัดขึ้นในปีเดียวกัน นาฬิกาข้อมือ "เสน่ห์นางระบำ" Lady Arpels Ballerine Enchantée (เลดี อารเปลส์ บาลเลอรี น็องชองตี) ได้กลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ทางการสร้างสรรค์ผลงานนาฬิกาข้อมือประจำเมซง อีกทั้งยังเป็นบทสะท้อนถึงอีกแรงบันดาลใจสำคัญทางการออกแบบ นั่นก็คือศิลปะนาฏกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ “บัลเลต์” หรือ "ระบำปลายเท้า"
Lady Arpels Ballerine Enchantée watch กรอบหน้าปัดนาฬิกาขนาด 40 มม. ทำจากทองคำขาวฝังเพชร พื้นหน้าปัดทองคำขาวประดับไพลิน และเพชรร่วมกับ งานลงยาลายนูนหรือ “ชองเปลเว” (champlevé) และงานลงยาลายฉลุหรือ “ปลิกาฌูร” (plique-à-jour) กลไกขับเคลื่อนระบบอัตโนมัติ (Valfleurier Q020) รองรับหน่วยบอกเวลาระบบตีเข็มย้อนกลับ (รีโทรเกรด) และบอกเวลาตามสั่ง สายนาฬิกาฝังเพชรเรียงแถวจิกไข่ปลา
สำหรับปีนี้ Van Cleef & Arpels ได้รังสรรค์สองผลงานใหม่อันเต็มไปด้วยความงามสง่า และทันสมัย หนึ่งนั้นเป็นตัวเรือนทองคำขาว ส่วนอีกหนึ่งคือตัวเรือนทองคำสีกุหลาบ ซึ่งล้วนรองรับหน้าปัดขึ้นรูปประติมากรรมจำลองทรวดทรงสะโอดสะองของเรือนร่างนางระบำในท่วงท่าอากัปอันมีทั้งความแคล่วคล่อง ปราดเปรียว และเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง ในขณะที่ชั้นกระโปรงตูตู หรือกระโปรงบัลเลต์ ซึ่งบานฟูฟ่องให้ความรู้สึกถึงการสะบัดพลิ้วไปตามจังหวะเต้น เผยความงดงามจากการใช้วัสดุใหม่ สีสันใหม่ อีกครั้งที่การระดมทักษะงานฝีมือสาขาต่างๆ นำมาซึ่งความวิจิตรบรรจงทางงรูปทรงอันบ่งบอกถึงความเป็นผู้หญิงอย่างชัดเจน ในขณะเดียวกัน ก็จุดประกายภาพฝันราวกับกำลังทัศนานาฏลีลา ที่อาศัยความลื่นไหลไหวพลิ้วในการเคลื่อนไหวอันอ่อนช้อย คล้ายล่องลอยไปตามลม
นักเต้นบัลเลต์ ผู้หลอมรวมเรือนร่างสะโอดสะองอันบ่งบอกถึงความเป็นผู้หญิงเข้ากับทรวดทรงปีกผีเสื้อสุดตระการตาในสีสันอันสดใส เป็นผลงานสร้างสรรค์ซึ่งดำเนินตามครรลองงานออกแบบนางระบำปลายเท้าหรือที่เรียกทับศัพท์ว่า “บาลเลอรินา” และนางฟ้าอันเป็นที่รักยิ่งของเมซง ในระหว่างทศวรรษ 1940 เข็มกลัดประดับอันงามสง่าจากลูกเล่นทางการออกแบบเหล่านี้ร่วมกันสร้างชื่อให้แก่ Van Cleef & Arpels อย่างโดดเด่น แต่ละชิ้น แต่ละรุ่นล้วนจุดประกายปรารถนาให้ครอบครองขึ้นทันทีในใจของนักสะสมทั้งหลาย ภายใต้คำแนะนำของลูอิส อารเปลส์ ผู้พิสมัยศิลปะนาฏกรรม และเป็นขาประจำการแสดงระบำปลายเท้าหรือ “บัลเลต์” เมซงได้สรรค์สร้างเครื่องประดับรูปนางระบำปลายเท้าหรือบาลเลอรินาไว้หลายรุ่นโดยอาศัยแรงบันดาลใจจากบุคคลผู้มีชื่อเสียงแห่งตำนานบัลเลต์ ไม่ว่าจะเป็นลา คามารโก (ชื่อเต็มคือมารี-อานน์ เดอ คูพิส์ เดอ คามารโก) แห่งศตวรรษที่ 18 บาลเลอรินาสัญชาติฝรั่งเศสคนแรกซึ่งใช้ท่าเต้นกระโดดตีขาสี่จังหวะอย่างที่เรียกว่า “อ็องเตรชาต์ คาตร” (entrechat quatre) อีกทั้งยังนำนวัตกรรมใหม่ๆ มาสู่วงการนักเต้นอาทิเช่นการสวมรองเท้าผ้าพื้นเรียบแทนรองเท้ามีส้น หรืออีกบุคคลก็คืออานนา พาฟโลวา นักเต้นหญิงดาวเด่นตัวชูโรงของคณะระบำปลายเท้ารัสเซีย รูปร่างเพรียวบาง สะโอดสะองของพวกเธอถูกถ่ายทอดมาสู่การวางท่วงท่าอากัปอันหลากหลายในเครื่องแต่งกาย และเครื่องประดับศีรษะซึ่งตกแต่งด้วยรัตนชาติล้ำค่าโดยมีเพชรเดี่ยวต่างดวงหน้าของพวกเธอ
ความผูกพันแน่นแฟ้นระหว่าง Van Cleef & Arpels กับศิลปะนาฏกรรมดำเนินสืบทอดอย่างต่อเนื่องนับจากการพบปะเผชิญหน้าครั้งสำคัญ อันถือเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ของเมซง นั่นก็คือครั้งที่โคลด อารเปลส์ย้ายไปประจำสาขา ณ มหานครนิวยอร์กได้ทำความรู้จักกับจอร์จ บาลางชีน นักออกแบบท่าเต้นผู้โด่งดัง และทำการเชิญฝ่ายนั้นให้มาเยือนบูติกของตนบนถนนสายห้า ความรัก และความหลงใหลที่ทั้งสองต่างมีให้กับรัตนชาตินำไปสู่การร่วมงานเชิงศิลป์อย่างรวดเร็ว ด้วยแรงบันดาลใจจากมรกต, ทับทิม และเพชร บาลางชีนอำนวยการสร้าง Jewels ขึ้นเป็นการแสดงระบำปลายเท้าสามองก์โดยตั้งชื่อแต่ละองก์ตามอัญมณีทั้งสาม ซึ่งเป็นจุดตั้งต้นแนวความคิด และเปิดการแสดงครั้งแรกในนิวยอร์กเมื่อเดือนเมษายนปี 1967 ในครั้งนั้น บาลางชีนได้กล่าวถึงการแสดงครั้งนี้ว่า "นี่เป็นบัลเลต์แนวแอ็บสแตร์ก ซึ่งเนื้อหาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับอัญมณีเลยเว้นเสียแต่นักเต้นในแต่ละองค์สวมเครื่องแต่งกายสีเดียวกับอัญมณีที่เป็นชื่อขององก์นั้นๆ"
Lady Arpels Ballerine Enchantée Rose Gold watch กรอบหน้าปัดนาฬิกาขนาด 40 มม. ทำจากทองคำสีกุหลาบฝังเพชร พื้นหน้าปัดทองคำสีกุหลาบประดับเพชรร่วมกับ งานลงยาลายนูนหรือ “ชองเปลเว” (champlevé) และงานลงยาลายฉลุหรือ "ปลิกาฌูร" (plique-à-jour) กลไกขับเคลื่อนระบบอัตโนมัติ (Valfleurier Q020) รองรับหน่วยบอกเวลาระบบตีเข็มย้อนกลับ (รีโทรเกรด) และบอกเวลาตามสั่ง สายนาฬิกาหนังจระเข้สีม่วงเนื้อเงา
โลกของนาฏศิลป์ หรือศิลปะการเต้น ส่งอิทธิพลต่อการสร้างสรรค์ของเมซงอย่างต่อเนื่อง อย่างในปี 2013 นาฬิกาข้อมือ "เสน่ห์นางระบำ" Lady Arpels Ballerine Enchantée ได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบจากคำพูดของอานนา พาฟโลวาที่ว่า "ฉันเคยฝันในตอนเป็นเด็กว่าจะโตขึ้นเป็นนักบัลเลต์ และใช้ทั้งชีวิตไปกับลีลาการเต้นที่พลิ้วไหวเสมือนผีเสื้อโบยบิน..." ผลงานครั้งนั้นยังแสดงให้เห็นถึงมรดกต่างๆ ทางการสร้างสรรค์ของ Van Cleef & Arpels โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำกลไกบอกเวลาระบบคู่เข็มตีย้อนกลับจากนาฬิกาพก "นักมายากลจีน" (Chinese Magician pocket watch) เมื่อปี 1927 มาปรับประยุกต์เป็นแขนทั้งสองข้างสำหรับใช้ขยับยกบอกเวลา ความแยบยลในการใช้ระบบเข็มตีย้อนกลับบอกเวลาลักษณะนี้ ได้กลายเป็นคุณลักษณ์เด่นเฉพาะตัวประการหนึ่งในปัจจุบันของคอลเลคชันนาฬิกาข้อมือ Poetic Complications
สำหรับผลงานรุ่นใหม่ ลำตัวของนางระบำปลายเท้าหรือ “บาลเลอรินา” เป็นประติมากรรมนูนต่ำทำจากทองคำโดยใช้เพชรในการตกแต่งเน้นรายละเอียดให้แก่เครื่องประดับศีรษะ, วงหน้า, ทรวงอก และเอว โดยที่สองแขนผายออกมาด้วยท่วงท่าสง่างามอยู่เหนือทรงบานกว้างของกระโปรงตูตูเนื้อสีโปร่งแสง สำหรับนาฬิกาข้อมือ Lady Arpels Ballerine Enchantée นั้น เครื่องแต่งกายของนักเต้นหญิงสะบัดพลิ้วเป็นวงด้วยงานลงยาลายนูน “ชองเปลเว” (champlevé) ร่วมกับงานฝังไพลิน และเพชร ขณะเดียวกับที่แผ่นโมทิฟกระโปรงลงยาลายฉลุ “ปลิกาฌูร” (plique-à-jour) อย่างอ่อนช้อยของรุ่น Lady Arpels Ballerine Enchantée Rose Gold สามารถขยับหมุน ยกตัวขึ้นราวกับปีกผีเสื้อโปร่งแสงเพื่อทำหน้าที่ชี้ตัวเลขบอกเวลาได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ บาลเลอรินาบนตัวเรือนทั้งสอง ต่างโดดเด่นอยู่บนฉากหลัง ซึ่งอาศัยงานสลักลายลำแสงรัศมีตะวันหรือ “กวิโญเช” (guilloché) ก่อมิติเสริมความรู้สึกของการเคลื่อนไหวไปตามอากัปการเต้น นอกจากนั้น งานเรียงซ้อนแผ่นลงยาสีโปร่งแสงเฉดม่วง หรือชมพู ซึ่งถูกปูทับลงไปอีกทีละชั้นๆ ยังช่วยทวีระดับความลึก และประกายสุกใสให้แก่งานประกอบชิ้นส่วนขึ้นรูปประติมากรรมบนหน้าปัดของแต่ละรุ่น
คงปฎิเสธไม่ได้เลยว่าเทรนด์แฟชั่นนั้นไม่เคยหยุดนิ่งและปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา รวมถึงความชื่นชอบในสไตล์เสื้อผ้าและแอคเซสเซอร์รี่ของแต่ละคนก็มีความหลากหลายและแตกต่างกันออกไป Club21 Multi-Label จึงเรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งแฟชั่นเดสทิเนชั่นที่ตอบโจทย์และสามารถมอบประสบ
Valentino นำเสนอกระเป๋าสุดคลาสสิกอันโด่งดัง Valentino Garavani Roman Stud วิวัฒนาการผลงานอันประณีตของหมุดอันเป็นซิกเนเจอร์ของเมซง ผ่านจอภาพเคลื่อนไหวสามมิติในสถานที่สุดพิเศษทั้งสี่แห่งทั่วทุกมุมโลกทั้ง New York’s Times Square, Tokyo’s Minami Aoyama,...
To present the upcoming Full Summer Men's and Women's collection, Tod's evocatively describes the atmosphere of a casual and relaxed Italian holiday lifestyle, where fun and joyful entertainments are the protagonists.
First introduced in Wardrobe 03 as part of the small leather goods collection, Salon 03 sees the development of the Turn Pouch in new sizes, colourways and material. It is now available in two sizes - small and medium.
'Chopard Loves Cinema' An Haute Joaillerie collection freely inspired by movie masterpieces. Representing so much more than an oft-repeated refrain, ‘Chopard Loves Cinema’ is the theme chosen by Chopard to mark its activities at the 75th Cannes Film Festival,
Innovation, Made in Italy and the Japanese culture meet in the new Dolce&Gabbana x Jujutsu Kaisen Special Collection, creating new synergies between art and style. The Jujutsu Kaisen universe, which became highly popular in Japanese culture, has inspired...
Following the opening of the FENDI boutique at The Shoppes at Marina Bay Sands in February 2022, the first 'World of FENDI'