548

BOTTEGA VENETA รื้อฟื้นการรังสรรค์ประดิษฐกรรม THE ART OF COLLABORATION ขึ้นอีกครั้งผ่านงานโฆษณาสื่อดิจิตอลรูปโฉมใหม่เป็นครั้งแรกสำหรับคอลเลคชั่นประจำฤดูใบไม้ผลิ/ฤดูร้อน 2018

PreviousNext

Bottega Veneta กำลังจารึกบทใหม่ในหน้าประวัติศาสตร์แบรนด์ผ่าน “การร่วมงานสรรค์สร้างศิลป์” หรือ the Art of Collaboration ในรูปแบบโฆษณาสื่อดิจิตอลโฉมใหม่เป็นครั้งแรกกับ Baron & Baron เอเยนซี่ชื่อดังระดับสากล

Reflections ภาพยนตร์โฆษณาสำหรับคอลเลคชั่นประจำฤดูใบไม้ผลิ/ฤดูร้อน 2018 อาศัยการเรียงร้อยภาพเคลื่อนไหวเป็นหัวใจสำคัญทางการสร้างสรรค์ ไม่ต่างอะไรจากภาพยนตร์ชุดที่ร้อยเรียงเรื่องราวดุจกวีนิพนธ์ ภาพยนตร์ขนาดสั้นทั้งหกเรื่องนำเสนอเนื้อหาอันลึกซึ้ง และโดดเด่นเป็นหนึ่งจากการกำกับโดยฟาเบียน บารอน โดยจะทำการแพร่ภาพแต่ละตอนตลอดฤดูทางช่องทางดิจิตอลต่างๆ รวมถึงเว็บไซต์ของพันธมิตรผู้เกี่ยวข้อง เนื้อหาภาพยนตร์ทั้งหกตอนจะกลายเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงนวัตกรรมทางการเล่าเรื่องผ่านโทรศัพท์มือถือเป็นครั้งแรก

The Art of Collaboration ซึ่งริเริ่มเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2001 โดยโทมัส เมเยอร์ ผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ประจำ แบรนด์นั้น ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างยิ่ง ผลงานครั้งนั้นแสดงให้เห็นเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่าง แบรนด์กับเหล่าศิลปินต่างแขนง และเมื่อมาถึงบทต่อไปในหน้าประวัติศาสตร์ เนื้อหาของผลงานล่าสุดคือการหวนคืนสู่ตัวแบรนด์ Bottega Veneta เองผ่านเวทีสื่อสารระบบดิจิตอลเพื่อกระชับความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่าง “ชื่อย่อ” ของแบรนด์กับลูกค้าในปัจจุบัน ไม่ต่างอะไรจากการร่วมงานสรรค์สร้างศิลป์ชิ้นต้นแบบที่ก่อรากฐานบนการระดมศิลปินช่างภาพมาช่วยกันขจัดพรมแดน หรือข้อจำกัดของงานโฆษณาแฟชั่น แนวคิดใหม่อาศัยการเล่าเรื่องราวอันหรูหราอย่างทรงเอกลักษณ์ “ตลอดเวลา เราได้เล่าเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ และแบรนด์ของเรา” มร. เมเยอร์กล่าว “วิวัฒนาการของการร่วมงานสรรค์สร้างศิลป์หรือ the Art of Collaboration นี้ อำนวยให้เรามีโอกาสได้เข้าถึงและสื่อสารกับลูกค้าด้วยการใช้คำจำกัดความของเขาหรือเธอเอง”

งานโฆษณาชุดใหม่มุ่งเน้นไปยังสื่อดิจิตอลและช่องทางโทรศัพท์มือถือ เพื่อมอบความบันเทิงผ่านปลายนิ้ว พร้อมก่อแรงบันดาลใจ เปิดมุมมองใหม่ในเรื่องราว และดีเอ็นเอ หรือเลือดเนื้อของความเป็นแบรนด์ ได้รับการออกแบบมาเพื่อเชื่อมต่อสู่ลูกค้ายุคใหม่ ไม่ว่าเขา หรือเธอจะอยู่ที่ไหน แค่ใช้ปลายนิ้วสัมผัส ก็สามารถรับประสบการณ์แห่งความผูกพันนี้ได้

สำหรับภาพนิ่งที่จะใช้ในงานโฆษณาสื่อสิ่งพิมพ์ คือการเลือกคัดตัดต่อจากบรรดาภาพเคลื่อนไหว อาศัยเทคนิคการทำงานจากกล้อง Millennium DXL 8K รุ่นใหม่ของ Panavision ซึ่งเลนส์ต่างๆ จะถูกเลือกใช้ให้เหมาะกับลักษณะเฉพาะของภาพภายใต้การดูแลของฟิลิปป์ เลอ ซูรด์ (Philippe Le Sourd) ช่างถ่ายภาพยนตร์ เป็นการหลอมรวมองค์ประกอบสำคัญส่วนต่างๆ ตามธรรมเนียมช่างภาพ และงานถ่ายภาพเพื่อให้การจัดภาพสำหรับตีพิมพ์มอบอารมณ์เฉกเช่นการรับชมภาพยนตร์ ด้วยการร้อยภาพซ้ำเข้าด้วยกัน สร้างความรู้สึกเสมือนภาพเคลื่อนไหว พร้อมจำลองแบบงานสตอรี่บอร์ดที่ใช้ก่อนถ่ายทำจริง ผลงานนี้ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของแบบฉบับวิสัยทัศน์ใหม่ของแบรนด์ ซึ่งจะกลายเป็นที่รู้จักและจดจำในช่องทางการสื่อสารต่างๆ

ส่วนรูปแบบใหม่ของการร่วมงานสรรค์สร้างศิลป์ หรือ the Art of Collaboration ครั้งนี้ แทนที่จะอาศัยการกำกับ ดำเนินงานโดยบุคคลเดียว กลับเป็นการระดมทีมผู้ร่วมงานมาถ่ายทอดมุมมองของโทมัส เมเยอร์ ศิลปินผู้เปี่ยมพรสวรรค์ในการทำงานกับเมเยอร์ ประกอบด้วยฟาเบียน บารอน ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องต่างๆ ในโครงการนี้, ฟิลิปป์ เลอ ซูรด์ ช่างถ่ายภาพยนตร์ ซึ่งเคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลด้านภาพยนตร์ในหลายสถาบัน, สเตฟาน เบ็คแมน นักออกแบบฉากชื่อก้อง และจอห์นนี่ เจเวล นักเรียบเรียงเสียงประสาน และผู้บันทึกเสียง มารับผิดชอบการแต่งเพลงประกอบให้แก่ภาพยนตร์ทั้งหกตอน รวมถึงเพลงภาพยนตร์ตัวอย่าง

สามนางแบบสาว วิตตอเรีย เซเร็ตติ (Vittoria Ceretti), โอบ โจลิเกอร์ (Aube Jolicoeur), โซรา ชอย (Sora Choi) กับหนึ่งนายแบบจานิส แอนเซินส์ (Janis Ancens) ได้รับการคัดเลือกมาเพื่อร่วมกันถ่ายทอดอารมณ์ อันถือเป็นองค์ประกอบสำคัญยิ่งในการร่วมสร้างงานศิลป์สุดซับซ้อน ละเมียดละไม โดยอาศัยแนวคิดจากข้อความระบุแบบฉบับความเป็นแบรนด์ของ Bottega Veneta ที่ว่า “When your own initials are enough” หรือ “เมื่อชื่อย่อของคุณก็พอแล้ว” เหล่าศิลปินผู้ร่วมงานต่างหาหนทางสอดแทรกชื่อย่อของตนด้วยกลวิธีต่างๆ อย่างแยบคาย ทั้งในเครดิตท้ายภาพยนตร์ หรือบนภาพพิมพ์สื่อโฆษณา

สำหรับฤดูกาลนี้ กับฤดูกาลต่อๆ ไปที่กำลังมาถึง ภาพยนตร์ขนาดสั้นเรื่องต่างๆ จะได้รับการแพร่ภาพในลักษณะของภาพยนตร์ชุดหรือซีรี่ส์ที่เล่าเรื่องราวต่างๆ โดยมีตัวละครดำเนินเรื่องไปบนพื้นฐานแนวคิดสุนทรียศิลป์ทิศทางเดียวภายใต้ชื่อ Reflections เป็นมุมมองซึ่งก่อกำเนิดขึ้นจากรากฐานปรัชญาทางการออกแบบประจำแบรนด์ นั่นก็คือ มีความลึกลับ, ภูมิฐาน, มีความเป็นสถาปัตยกรรม, เปี่ยมเสน่ห์เย้ายวน และเหนือจริง

“สิ่งสำคัญสำหรับเราก็คือ ต้องเล่าเรื่องราวของ Bottega Veneta ผ่านสื่อ ซึ่งนำเสนอเนื้อหาได้อย่างแพร่หลาย และเข้าใจง่ายอย่างที่สุดในปัจจุบัน นั่นก็คือภาพยนตร์ เพื่อไม่ให้มีการเข้าใจคลาดเคลื่อน และถ่ายทอดประเด็นต่างๆ ทางการสื่อสารผ่านตัวภาพยนตร์ได้โดยตรง” บารอนกล่าว “ท้ายที่สุด เราต้องการพัฒนาคำจำกัดความมุมมอง หรือวิสัยทัศน์เอกลักษณ์ ซึ่งสามารถสะท้อนถึงความเป็นแบรนด์ระดับหรูได้อย่างครอบคลุม”