Placeholder image

Claude Monet: โลกศิลปะอันน่าประทับใจของ โคลด โมเนต์

โกลด มอแน (Claude Monet) หรือชื่อเต็มว่า อ็อสการ์-โกลด มอแน (Oscar-Claude Monet) เกิดวันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ. 1840 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส มอแนเป็นหนึ่งในจิตรกรลัทธิ “อิมเพรชชั่นนิสม์” (Impressionism) หรือลัทธิ “ประทับใจ” และมีบทบาทสำคัญในการเคลื่อนไหวทางศิลปะแขนงนี้มาก ชื่อของลัทธิอิมเพรชชั่นนิสม์ มีที่มาจากภาพวาดชื่อ “Impression, soleil levant - ความประทับใจของพระอาทิตย์ขึ้น” (1872) ความมุ่งหมายของมอแนที่อยากจะบันทึกช่วงเวลาอันน่าประทับใจต่างๆ ของชนบทฝรั่งเศสทำให้เขาประยุกต์ใช้วิธีการวาดภาพในแบบเฉพาะตัวและกลายมาเป็นเอกลักษณ์ของเขาในที่สุด ภาพวาดของมอแนเน้นการถ่ายทอด “ความประทับใจในสิ่งที่เห็นของผู้วาด” (perception) มากกว่าการเลียนแบบธรรมชาติให้สมจริงที่สุด อย่างที่ลัทธิสัจนิยม หรือ “เรียลลิสม์” (Realism) ยึดมั่น

โดย นูเมโรไทยแลนด์


โมเนต์เกิดในตึกแถวแห่งหนึ่งในปารีส ย่านถนน รู ลาฟิตต์ (rue Laffitte) เขาเป็นบุตรชายคนที่สองของ โคลด อดอล์ฟ โมเนต์ (Claude Adolphe Monet) และ ลูอีส จุสทีน อูเบร่ โมเนต์ (Louise Justine Aubrée Monet) ในปี ค.ศ. 1845 ครอบครัวโมเนต์ย้ายไปอาศัยที่เมือง เลออาฟวร์ (Le Havre) แคว้นนอร์มังดี (Normandy) พ่อของโมเนต์อยากให้เขาสานต่อธุรกิจด้านค้าของชำและอุปกรณ์ต่อเรือ แต่โมเนต์อยากเป็นจิตรกร แม่ของโมเนต์เคยเป็นนักร้องจึงเข้าใจและเป็นบุคคลที่ช่วยสนับสนุนแรงปรารถนาอันแรงกล้าในการทำงานด้านศิลปะของโมเนต์ในช่วงแรกเริ่ม

เมื่อวันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 1851 โมเนต์เข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนเรียนสอนศิลปะเมืองเลออาฟวร์ โมเนต์เริ่มเป็นที่รู้จักในฝีมือการเขียนรูปการ์ตูนล้อเลียนด้วยถ่านหิน (caricature) นอกจากนั้นโมเนต์ก็ยังเรียนการเขียนภาพเป็นครั้งแรกกับฌัก-ฟร็องซัว โอชารด์ (Jacques-François Ochard) ผู้เป็นลูกศิษย์ของฌัก-หลุยส์ ดาวิด (Jacques-Louis David) ระหว่างปี ค.ศ. 1856-1857 โมเนต์พบกับ ยูจีน บูแดง (Eugène Boudin) ผู้เป็นจิตรกรและผู้ที่โมเนต์ถือว่าเป็นครูและเป็นผู้สอนให้โมเนต์วาดภาพด้วยด้วยสีน้ำมัน และสอนวิธีวาดภาพ “นอกสถานที่” (en plein air) อย่างไรก็ตามเมื่อแม่ของโมเนต์เสียชีวิตลง เมื่อวันที่ 28 มกราคม ค.ศ. 1857 ขณะนั้น โมเนต์อายุได้ 16 โมเนต์ก็จำเป็นต้องลาออกจากโรงเรียนไปอาศัยอยู่กับน้า มารี จอง เลอคาเดร (Marie-Jeanne Lecadre)

ที่กรุงปารีส เมื่อโมเนต์มีโอกาสได้ไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ (Musée du Louvre) ที่ปารีส โมเนต์พบว่างานเขียนที่เห็นในพิพิธภัณฑ์เป็นภาพที่ลอกมาจากภาพสมัยเก่า แทนที่จะนั่งลอกภาพเขียนที่แขวนในพิพิธภัณฑ์ โมเนต์ก็กลับเอาขาหยั่งไปตั้งริมหน้าต่างและวาดภาพสิ่งที่เห็นนอกหน้าต่าง โมเนต์อยู่ปารีสเป็นเวลาหลายปีและได้พบจิตรกรหลายคนผู้กลายมาเป็นเพื่อนและจิตรกรลัทธิประทับใจร่วมสมัยของโมเนต์ เมื่อเดือนมีนาคม ปี ค.ศ. 1861 โมเนต์สมัครเป็นทหารกับกอง First Regiment of African Light Cavalry ในประเทศแอลจีเรีย โมเนต์เป็นทหารอยู่ได้สองปีก็เป็นไข้ไทฟอยด์ มาดามเลอคาเดรจึงให้โมเนต์ลาออกจากการเป็นทหารโดยให้สัญญาว่าต้องไปเรียนวิชาศิลปะต่อให้จบที่มหาวิทยาลัย อาจจะเป็นได้ว่าโยฮันน์ ยองคินด์ (Johan Jongkind) จิตรกรชาวเนเธอร์แลนด์ผู้โมเนต์รู้จัก มีส่วนในการให้ข้อเสนอแนะนี้ แต่โมเนต์ก็ไม่พอใจกับทฤษฏีการสอนตามแบบที่ทำกันมาของมหาวิทยาลัย ในปี ค.ศ. 1862 โมเนต์ก็ไปเป็นลูกศิษย์ของมาร์ค ชาร์ล เกเบรียล เกลร์ (Marc-Charles-Gabriel Gleyre) ที่ปารีสซึ่งเป็นที่ที่โมเนต์ได้พบปีแยร์ ออกุสต์ เรอนัวร์, เฟรเดริก บาซีย์ (Frédéric Bazille) และอัลเฟรด ซิสลีย์ สามคนนี้ก็มีแนวนิยมในการเขียนภาพแบบใหม่ร่วมกัน--การเขียนที่พิจารณาถึงผลของแสงที่มีต่อสิ่งที่วาดนอกสถานที่ การใช้แสงแตกหัก และฝีแปรงที่หยาบที่กลายมาเป็นลักษณะลัทธิประทับใจที่เรารู้จักกันทุกวันนี้ เมื่อปี ค.ศ. 1866 โมเนต์เขียนภาพ “คามีย์” (Camille) และ “ผู้หญิงในชุดเขียว” (La Femme à la Robe Verte) ซึ่งเป็นภาพที่นำชื่อเสียงมาสู่โมเนต์ และเป็นภาพในบรรดาหลายภาพที่โมเนต์เขียนโดยมีคามีย์ ดองโซเป็นแบบ หลังจากนั้นไม่นานคามีย์ก็ท้องและมีลูกคนแรกด้วยกันกับโมเนต์--ชอง โมเนต์ เมื่อปี ค.ศ. 1866 โมเนต์พยายามกระโดดน้ำฆ่าตัวตายซึ่งคงมาจากปัญหาความขัดสน

หลังจากเกิดสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซียเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม ค.ศ. 1870 โมเนต์ก็ลี้ภัยไปอยู่อังกฤษเมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. 1870 ขณะที่อยู่ที่นั่นโมเนต์ก็ศึกษางานภาพภูมิทัศน์ของ จอห์น คอนสตาเบิล (John Constable) และ วิลเลียม เทอร์เนอร์ (William Turner) ซึ่งมามีอิทธิพลต่อการศึกษาเรื่องการใช้สี เมื่อฤดูใบไม้ผลิปี ค.ศ. 1871 ทางราชสถาบันศิลปะ (Royal Academy) ไม่ยอมแสดงผลงานของโมเนต์ เมื่อเดือนพฤษภาคม ปี ค.ศ. 1871 โมเนต์ก็ย้ายจากลอนดอนไปซานดาม (Zaandam) ในประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นที่โมเนต์เขียนภาพ 25 ภาพ (เป็นที่ที่ตำรวจสงสัยว่าโมเนต์มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปฏิวัติ) จากซานดามโมเนต์ก็มีโอกาสไปอัมสเตอร์ดัมซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก ประมาณเดือนตุลาคม หรือพฤศจิกายน ปี ค.ศ. 1871 โมเนต์ก็ย้ายกลับปารีส ระหว่างเดือนธันวาคม ค.ศ. 1871 ถึง ค.ศ. 1878 โมเนต์อาศัยอยู่ที่อาร์ฌ็องเตย (Argenteuil) ซึ่งเป็นหมู่บ้านริมฝั่งแม่น้ำเซนใกล้ปารีส และเป็นที่ที่โมเนต์วาดภาพที่กลายมาเป็นภาพที่มีชื่อเสียงที่สุดของโมเนต์ และเป็นภาพที่เป็นที่รู้จักกันแพร่หลายหลายภาพ ในปี ค.ศ. 1874 โมเนต์กลับไปเนเธอร์แลนด์อยู่ระยะหนึ่ง ประมาณปี ค.ศ. 1872 หรือ 1873 โมเนต์วาดภาพ “Impression, Sunrise” (Impression: soleil levant—ความประทับใจของพระอาทิตย์ขึ้น) ซึ่งเป็นภาพภูมิทัศน์ของเลออาฟวร์ ภาพนี้ตั้งแสดงที่งานนิทรรศการศิลปะลัทธิประทับใจครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1874 ในปัจจุบันตั้งอยู่ที่พิพิธภัณฑ์มาโมแตง-โมเนต์ ที่ปารีส หลุยส์ เลอรอยนักวิจารณ์ศิลปะเริ่มใช้คำ “อิมเพรสชันนิสม์” จากชื่อภาพในการบรรยายศิลปะลักษณะนี้อย่างเยาะ ๆ แต่จิตรกรลัทธิประทับใจนิยมคำและเริ่มใช้เรียกตัวเอง โมเนต์และคามีย์ ดองโซแต่งงานกันเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ. 1870 ไม่นานก่อนเกิดสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย พอปี ค.ศ. 1876 คามีย์ก็เริ่มป่วย หลังจากมีมิเชลลูกคนที่สองเมื่อวันที่ 17 มีนาคม ค.ศ. 1878 สุขภาพของคามีย์ก็เสื่อมลง ในที่สุดก็เสียชีวิตเมื่ออายุได้ 32 ปีด้วยวัณโรคเมื่อวันที่ 5 กันยายน ค.ศ. 1879 โมเนต์วาดภาพคามีย์บนเตียงที่คามีย์นอนป่วย

หลังจากโมเนต์โศกเศร้ากับการตายของคามีย์อยู่หลายเดือนโมเนต์ก็สัญญากับตนเองว่าจะไม่ยอมเป็นทาสความยากไร้อีก โดยเริ่มเขียนภาพจริง ๆ จัง ๆ และสร้างงานที่ดึที่สุดของตนเองของสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 19 เมื่อต้นคริสต์ทศศตวรรษ 1880 โมเนต์ก็วาดภาพภูมิทัศน์ของชนบทฝรั่งเศสด้วยความตั้งใจที่จะทำเป็นหลักฐานของประเทศฝรั่งเศส ซึ่งทำให้เกิดการวาดภาพเป็นชุดหลายชุดที่เกี่ยวกับภูมิทัศน์ของชนบทฝรั่งเศส

เมื่อปีค.ศ. 1878 โมเนต์และคามีย์ย้ายไปอยู่ที่บ้านของเอิร์นเนส โอเชด (Ernest Hoschedé) เป็นการชั่วคราว โอเชดเป็นเจ้าของร้านสรรพสินค้าผู้มีฐานะและเป็นผู้อุปถัมป์ศิลปิน สองครอบครัวนี้ก็อยู่ด้วยกันที่เวทุย (Vétheuil) ระหว่างหน้าร้อน หลังจากที่เอิร์นเนสล้มละลายและย้ายไปประเทศเบลเยียมเมื่อปีค.ศ. 1878 และหลังจากที่คามีย์เสียชีวิตเมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. 1879 โมเนต์ก็ยังคงอาศัยอยู่ที่เวทุย โดยมีอลิซ ภรรยาของเอิร์นเนส โอเชดก็ช่วยโมเนต์ดูแลบุตรชายสองคน อลิซนำลูกของโมเนต์ไปเลี้ยงร่วมกับลูกของอลิซเองอีก 6 คนที่ปารีสอยู่ระยะหนึ่ง ก่อนที่จะย้ายกลับมาเวทุยพร้อมกับลูก ๆ อีกครั้งเมื่อปีค.ศ. 1880 ในปีค.ศ. 1881 ทั้งสองครอบครัวก็ย้ายไปปอยซี (Poissy) ซึ่งเป็นที่ที่โมเนต์ไม่ชอบ จากหน้าต่างรถไฟระหว่างแวร์นองและกาสนีโมเนต์ก็พบจิแวร์นีย์ (Giverny) ในนอร์ม็องดี ในเดือนเมษายนปีค.ศ. 1883 โมเนต์ก็ย้ายไปแวร์นองและต่อมาจิแวร์นีย์ ซึ่งเป็นที่ที่โมเนต์ทำสวนขนาดใหญ่และเป็นที่ที่โมเนต์เขียนภาพตลอดในบั้นปลายของชีวิต หลังจากเอิร์นเนสเสียชีวิต อลิซก็แต่งงานกับโมเนต์เมื่อปีค.ศ. 1892

เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1883 โมเนต์ก็เช่าที่ดินสองเอเคอร์ที่จิแวร์นีย์จากเจ้าของที่ดินบริเวณนั้น ตัวบ้านตั้งอยู่ใกล้ถนนสายหลักระหว่างแวร์นองกับกาสนี ตัวบ้านมีโรงนาที่โมเนต์ใช้เป็นห้องสำหรับเขียนภาพ ภูมิทัศน์บริเวณนั้นก็เหมาะกับการเขียนภาพของโมเนต์ นอกจากนั้นครอบครัวก็ยังช่วยกันทำสวนดอกไม้ใหญ่ ฐานะของโมเนต์ก็เริ่มดีขึ้นเมื่อมีพอล ดูรานด์ รูลเป็นนายหน้าขายภาพเขียนให้ ในปี ค.ศ. 1890 โมเนต์ก็มีฐานะดีพอที่จะซื้อบ้าน สิ่งก่อสร้างในบริเวณนั้น และที่ดินเป็นของตนเอง ต่อมาโมเนต์ก็สร้างห้องเขียนภาพอีกห้องหนึ่งซึ่งเป็นห้องที่ใหญ่กว่าเดิมและเป็นเพดานที่มีแสงส่องเข้ามาได้ ตั้งแต่คริสต์ทศศตวรรษ 1880 จนกระทั่งโมเนต์เสียชีวิตในปี ค.ศ. 1926 โมเนต์เขียนภาพหลายชุดสำหรับการแสดงภาพเขียน ซึ่งแต่ละชุดโมเนต์ก็จะวาดตัวแบบเดียวกันแต่จากมุมต่าง ๆ กันและต่างเวลากันตามแต่แสงและภาวะอากาศจะเปลี่ยนแสงสีของสิ่งที่วาด เช่นภาพชุดกองฟางที่เขียนระหว่างปี ค.ศ. 1890-1891 ซึ่งเขียนจากหลายมุมและต่างฤดูและต่างเวลากันในแต่ละวัน ภาพเขียนชุดอื่น ๆ ที่โมเนต์ก็ได้แก่ ชุดมหาวิหารรูอ็อง, ชุดต้นพอพพลา, ชุดตึกรัฐสภาอังกฤษ, ชุดยามเช้าบนฝั่งแม่น้ำเซน, และชุดดอกบัวซึ่งโมเนต์เขียนที่จิแวร์นีย์ บางครั้งโมเนต์ยังชอบเขียนภาพธรรมชาติที่ตกแต่งแล้วเช่นภายในสวนที่โมเนต์จัดตกแต่งเองที่บ้านจิแวร์นีย์ซึ่งเป็นสวนที่มีสระน้ำ, สะพานเล็ก ๆ ข้ามสระ, ต้นวิลโลร้องไห้, และดอกบัว ซึ่งสวนจริงยังมีให้เห็นกันอยู่ทุกวันนี้ นอกจากนั้นก็ยังเดินขึ้นล่องริมฝั่งแม่น้ำเซนเพื่อเขียนรูป ระหว่างปี ค.ศ. 1883 ถึงปี ค.ศ. 1908 โมเนต์เดินทางไปเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งโมเนต์เขียนภาพสิ่งที่น่าสนใจ, ภูมิทัศน์ และ ทะเลทัศน์ เมื่อไปเวนิสโมเนต์ก็เขียนภาพชุดเวนิส และลอนดอนเป็นชุดตึกรัฐสภาอังกฤษ และสะพานชาริงครอส อลิซและลูกชายคนโตของโมเนต์ผู้แต่งงานกับแบลนช์ ลูกสาวคนโตของอลิซเสียชีวิตเมื่อปี ค.ศ. 1911 หลังจากนั้นแบลนช์ก็ดูแลโมเนต์ ระหว่างนี้โมเนต์ก็เริ่มเป็นต้อ ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งลูกชายคนที่สองเป็นทหารและจอร์จ เคลมองโซ (Georges Clemenceau) ผู้เป็นเพื่อนและผู้นำฝรั่งเศส โมเนต์เขียนภาพชุด “วิลโลร้องไห้” (Weeping Willow) เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ชาวฝรั่งเศสผู้เสียชีวิตในสงคราม โมเนต์ได้รับการผ่าตัดต้อสองครั้งในปี ค.ศ. 1923 ต้อของโมเนต์มีผลต่อสีของภาพเขียนๆ ระหว่างที่เป็นต้อจะออกโทนแดงซึ่งเป็นลักษณะของผู้เป็นต้อ นอกจากนั้นโมเนต์ยังสามารถมองเห็นคลื่นแสงอัลตราไวโอเล็ทที่ตาปกติจะมองไม่เห็นซึ่งอาจจะทำให้มีผลต่อการเห็นสีของโมเนต์ หลังจากผ่าตัดแล้วโมเนต์ก็พยายามทาสีบางภาพใหม่ เช่นภาพชุดดอกบัวที่เป็นสีน้ำเงินกว่าเมื่อก่อนได้รับการผ่าตัด

โมเนต์เสียชีวิตจากโรคมะเร็งที่ปอดเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 1926 เมื่ออายุ 86 ปี ร่างของโมเนต์ถูกฝังไว้ที่วัดที่จิแวร์นีย์ โมเนต์ขอให้เป็นพิธีง่าย ๆ ฉะนั้นจึงมีผู้ร่วมงานศพเพียง 50 คน เมื่อปี ค.ศ. 1966 ลูกหลานของโมเนต์ก็ยกบ้าน สวนและบึงบัวให้กับสถาบันศิลปะแห่งฝรั่งเศส (Academy of Fine Arts) ปัจจุบันเปิดให้เข้าชมตั้งแต่ปี ค.ศ. 1980 นอกจากสิ่งของของโมเนต์แล้ว ภายในบ้านยังเป็นภาพพิมพ์แกะไม้ของญี่ปุ่น (Japanese woodcut prints) ที่โมเนต์สะสมด้วย

Source: Wikipedia, Biography

Fashion

Placeholder image

VIVIENNE WESTWOOD AND BURBERRY REVEAL CAMPAIGN FOR THEIR COLLABORATIONVIVIENNE WESTWOOD AND BURBERRY REVEAL CAMPAIGN FOR THEIR COLLABORATION

Vivienne Westwood และ Burberry ร่วมมือกันรังสรรค์คอลเลคชั่นสุดพิเศษ โดยได้ช่างภาพมากฝีมืออย่าง...

Placeholder image

เทคนิคการแต่งหน้าให้เข้ากับโทนสีของชุดไทย

ในปัจจุบันชุดไทยได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นชุดประจำชาติที่มีเอกลักษณ์ เฉพาะตัว ไม่เหมือนกับชาติอื่นๆ ด้วยการออกแบบและการตัดเย็บที่ประณีต บวกกับการสร้างสรรค์โทนสี และลวดลายบนผืนผ้าที่เกิดจากงานฝีมือของช่างไทยที่มีความพิถีพิถัน...

Placeholder image

งานแต่งแห่งปีระหว่างนักร้องหนุ่มสุดฮ็อต Nick Jonas และ Priyanka Chopra

Nick Jonas และ Priyanka Chopra ตัดสินใจสละโสดหลังจากคบหาดูใจกันมาสักระยะหนึ่ง โดยทั้งคู่วางแผนจะแต่งงานกันสุดสัปดาห์นี้ โดยกำลังเดินทางไปสนามบินในมุมไบประเทศอินเดีย และจะมุ่งหน้าไปยังสถานที่จัดงานแต่งงานของพวกเขาในเมือง Jodhpur...

Placeholder image

COMME des GARÇONS has now opened special installations for the collection at Dover Street Market locations around the world

After officially launching its new CDG line last week, COMME des GARÇONS has now opened special installations for the collection at Dover Street Market locations around the world.

Placeholder image

TOD’S FW18 GOMMINO COLLECTION


ทอดส์ (Tod’s) แบรนด์เครื่องหนังสัญชาติอิตาเลี่ยน นำเสนอไอคอนิคไอเท็มในฤดูใบไม้ร่วง - ฤดูหนาว 2018 กับรองเท้ากอมมิโน่ (Gommino) อันเป็นรองเท้ามอคคาซินยอดนิยมอันดับหนึ่งตลอดกาลจากทอดส์ ซึ่งในซีซั่นใหม่นี้ ทอดส์ได้เพิ่มเติมลูกเล่นและความพิเศษให้กับรองเท้ากอมมิโน่อย่างมากมาย...

Placeholder image

Bottega Veneta Cruise 2019 collection

เพื่อแสดงให้เห็นถึงความซับซ้อน และน่าสนในของคอลเล็กชั่นนี้ ครีเอทีฟไดเร็กเตอร์โทมัส ไมเยอร์ (Tomas Maier) จึงได้แบ่งคอลเล็กชั่นนี้ออกเป็นสามคอลเล็กชั่นย่อยๆ “เหมือนกับเป็นมินิคอลเล็กชั่น” Tomas Maier กล่าว “คอลเล็กชั่นแรกจะออกในเดือนพฤศจิกายน คอลเล็กชั่นต่อมาออกในเดือนธันวาคม และคอลเล็กชั่นที่สามในเดือนมกราคม...

Placeholder image

SALVATORE FERRAGAMO PRESENTS THE STUDIO BAG

SALVATORE FERRAGAMO UNVEILS THE STUDIO BAG ITS FIRST SIGNATURE HANDBAG LAUNCHED SINCE THE APPOINTMENT OF PAUL ANDREW AS WOMEN’S CREATIVE DIRECTOR.INSPIRED BY A POWERFUL SENSE OF CREATIVE KINSHIP...